ไม่ตายดีแน่ - นิยาย ไม่ตายดีแน่ : Dek-D.com - Writer
×

    ไม่ตายดีแน่

    ในค่ำคืนที่น่ากลัว

    ผู้เข้าชมรวม

    137

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    137

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  12 ม.ค. 56 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ที่โรงแรมม่านรูดเล็กๆหลังหนึ่ง ฝีเท้าลึกลับกำลังเดินขึ้นไปบนชั้นที่หกของโรงแรม ก่อนจะเดินไปที่หน้าห้อง 609 
    ภายในห้อง เขาได้ยินเสียงครางอย่างเสียวซ่านของชายวัยกลางคนกับหญิงสาววัยรุ่น พร้อมกับเสียงเตียงกระดกดังตรับๆหลายครั้ง
    เขาก้มลงมาที่ช่องใต้ประตู ก่อนจะนำซองจดหมายสีขาวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วก็ร่อนมันเข้าไปในห้อง หลังจากเสร็จแล้ว เขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเสียงเปิดประตูของเจ้าของห้องออกมาด่าไล่หลัง
    “มึงเขียนอะไรวะ แม่งแช่งให้กูตายคาอก เวรเอ๊ย”เสียงชายวัยกลางคนร่างอ้วนใหญ่ด่าเขา แต่เขาไม่สนใจและเดินลงไป ข้างล่าง ส่วนเจ้าของห้องก็ปิดประตูแล้วไปทำกิจกรรมบนเตียงกันต่อ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงหญิงคู่นอนกรีดร้องดังลั่นอย่างตกใจ…ที่เห็นคนตาย!!!
     
    วันต่อมา
    ที่ห้องฝ่ายปกครอง โรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่ง
    ภายในห้อง นอกจากอาจารย์ฝ่ายปกครองร่างอ้วนใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว ยังมีชายหนุ่มใหญ่ร่างสันทัดในชุดสุภาพ ตัดผมรองทรง อายุประมาณสี่สิบปีต้นๆ  กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าสงบเรียบร้อย คิ้วบางสั้นไม่มีรอยขมวดอันแสดงถึงความโกรธเลยแม้แต่น้อย จมูกเล็กกำลังดีนั้นก็ยังมีระดับเสียงหายใจเป็นปกติ ดวงตาเรียวเล็กดูเจ้าเล่ห์นั้นก็ยังมองอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ยิ่งริมฝีปากเผยอเล็กน้อยนั้นก็กำลังยิ้มอยู่  ไม่มีใครดูออกเลยว่าเขากำลังโมโหอย่างรุนแรงที่ทางโรงเรียนกำลังปัดความรับผิดชอบที่มีนักเรียนมาแกล้งจนลูกชายของเขาพิการ
    “นี่คุณกำลังจะบอกว่า ลูกผมเครียดมาจากทางบ้านแล้วมาโดดตึกที่นี่เหรอครับ”ชายคนนั้นถามอาจารย์ฝ่ายปกครองด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจเล็กน้อย
    “ไม่ใช่หรอกครับ คือว่าทางเราลองถามทั้งเพื่อนในห้องทั้งครูประจำชั้นแล้ว บอกว่าสุเมธาเขาทำตัวเรียบร้อยนิสัยดี ไม่เคยทำตัวมีปัญหากับใคร ทางโรงเรียนเลยคิดว่าลูกคุณน่าจะมีปัญหาจากทางบ้านน่ะครับ”อาจารย์ฝ่ายปกครองชี้แจง ทำเอาเขาถึงกับมองหน้าอย่างไม่พอใจ
    “เอาเป็นว่าถ้าผมรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องเขาแกล้งลูกผมล่ะก็ ผมจะมาติดต่อให้พวกคุณเอาเรื่องพวกมันเองก็ได้ครับ”เขากล่าวก่อนจะอำลา “ขอตัวครับ”
    ‘สุรสิทธิ์’ หรือ ‘ตุ้ย’ ชายหนุ่มใหญ่อาชีพทนายความรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังส่งลูกมาอยู่ในขุมนรกที่เขาเคยคิดว่าเป็นสรวงสวรรค์สำหรับลูก หลังจากภรรยาของเขาเสียชีวิต เขาก็พาลูกชายคนเดียวของเขาย้ายเข้ามาในเมือง แล้วส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนนี้เพราะว่าเป็นโรงเรียนชื่อดังที่ผลิตนักเรียนดีมาหลายรุ่นแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด ด้วยฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ลูกชายของเขากลายเป็นปมด้อยในห้องที่มีแต่คนฐานะดีและถูกกลั่นแกล้งสารพัด ตั้งแต่แอบเอากระเป๋าไปซ่อนไปยันคว่ำบาตรไม่คุยด้วยกันเกือบทั้งห้อง แต่ด้วยนิสัยของลูกเขานั้นเป็นคนที่ออกจะแหยๆไม่สู้คนเสียหน่อยทำให้เขาไม่เคยดิ้นรนอะไรเพื่อตัวเองเลย ทำให้ทุกครั้งที่กลับมา เขาจะได้ยินลูกเขาร้องไห้คนเดียวในห้องเสมอ
    และเมื่อออกมาจากห้อง เขาก็บังเอิญได้ยินเสียงคุยกันของนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งเขาค่อนข้างแน่ใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องของลูกเขาแน่
    “มึงได้ข่าวไหมวะ ‘เบียร์’ พ่อไอ้แหยมันจะมาเอาเรื่องพวกเราว่ะ”นักเรียนชายคนแรกกำลังพูดกับเพื่อนอีกคนถึงเรื่องที่เขาจะมาเอาเรื่องคนที่แกล้งลูกของเขา
    “จะกลัวทำไมวะ ‘บอล’ พ่อกูเป็นถึง ส.ส. เดี๋ยวค่อยบอกพ่อกูเอาเงินปิดปากพ่อมันให้”นักเรียนชายชื่อเบียร์กล่าวกับเพื่อนชื่อบอล หลังจากนั้นก็มีเสียงนักเรียนหญิงอีกคนพูดแทรกขึ้นมา “เออใช่ เบียร์พูดถูก สู้เรามาหาวิธีเอามันออกไปจากห้องเราให้ได้ดีกว่า จริงไหมเบียร์”
    “ ‘ไนซ์’ วันนี้แกพูดถูกหูฉันจังเลยว่ะ”เบียร์กล่าวอย่างอารมณ์ดี แล้วก็มีเพื่อนอีกหลายๆคนในห้องส่งเสียงเฮตามกันอีกครั้ง
    เด่นชัดมาก…คนพวกนี้นี่เองที่ทำให้ลูกเขาต้องพิการ สุรสิทธิ์กำลังจะเดินไปหาคนพวกนั้น แต่กลับมีเสียงอีกเสียงหนึ่งมาเรียกเขาไว้ก่อน
    “คุณน้าเป็นพ่อของตั้มรึเปล่าคะ”คนที่เรียกเขาเป็นเด็กสาวร่างเล็กในชุดนักเรียน หน้าตาของเธอจัดว่าสวยใช้ได้ตามแบบของสาวลูกครึ่งจีน ผิวขาวอมชมพู ตาเรียวเล็ก คิ้วโก่งสวยได้รูป จมูกโด่งคมรับกับใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากเรียวเล็กแดงเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ นั่นอาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆนั้นเธอถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีหรือเป็นเพราะยีนของพ่อกับแม่ส่งผลมาถึงลูกด้วย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า เธอใช่คนในกลุ่มที่เกลียด ‘ตั้ม’ หรือ ‘สุเมธา’ ลูกชายของเขาหรือไม่
    “แล้วหนูเป็นเพื่อนตั้มเหรอ”เขาถาม ซึ่งเด็กสาวก็ตอบกลับมาทันที
    “ค่ะ หนูชื่อ ‘ครีม’ เป็นเพื่อนตั้มค่ะ” เด็กสาวแนะนำตัว ก่อนจะถามเขาเรื่องที่ลูกชายเขาถูกแกล้งโดยเพื่อนร่วมห้อง
    “ตั้มเขาเคยไปฟ้องคุณน้ารึเปล่าคะ”
    “ไม่หรอก” สุรสิทธิ์ตอบ “เขาแค่แอบร้องไห้คนเดียวในห้องน่ะ” 
    “ทำไมตั้มเขาไม่หัดสู้คนบ้างคะ หนูเห็นเขาโดนแกล้งหลายครั้งแล้ว ตอนโดนคว่ำบาตร เขาก็ยังไม่โกรธพวกเบียร์กับคนอื่นๆเลย ก็ได้หนูนี่แหละค่ะคอยคุยคอยช่วยงานตั้มเขา”ครีมถามอย่างไม่เข้าใจ
    “น้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”เขาตอบ ก่อนจะถามเธอในเรื่องที่มีการแกล้งลูกเขาจนถึงขั้นพิการ
    “แล้วหนูครีมพอจะรู้รึอะไรเปล่าเรื่องที่ตั้มเขาโดดตึก”
    “รู้ค่ะ ตอนนั้นหนูเพิ่งออกไปเข้าห้องน้ำ…”
    ระหว่างที่ครีมกำลังเดินออกไปเข้าห้องน้ำ เธอได้ยินเสียงเบียร์ บอล ไนซ์ และเพื่อนคนอื่นๆที่ชอบรวมหัวกันแกล้งตั้มดังขึ้นมา
    “ไอ้แหย กระเป๋ามึงหายว่ะ”เบียร์บอกตั้มด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ก่อนที่บอลจะเอ่ยสำทับ “เฮ้ย กูเจอแล้ว อยู่ตรงริมระเบียงน่ะ”
    “พวกมึงไปซ่อนไว้ทำไม”ไนซ์ที่เป็นหญิงแสบในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาอีกคน “เดี๋ยวไอ้แหยมันก็ฟ้องพ่อให้เอาเราเข้าคุกหรอก ฮ่าๆๆ”
    เพียงเท่านั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาอย่างครื้นเครงทั้งห้อง หลังจากนั้น ครีมก็ได้ยินเสียงตั้มกำลังขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมห้อง “พวกมึงช่วยกูด้วย กูเกาะไม่ไหวแล้ว”
    แต่กลับไม่มีใครช่วยเขา มีเพียงเสียงหัวเราะครื้นเครงพร้อมกับเสียงกล่าวล้อเลียนของเบียร์ “โอ๊ย ตั้มจะตกแล้ว ช่วยตั้มด้วย”
    และเมื่อมีคนเริ่มพูดว่าเล่นแรงเกินไป แต่ทั้งบอลกับไนซ์ต่างก็คอยห้ามแกมขู่ “ไม่ต้องไปช่วยมัน ใครช่วยมัน ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกู”
    หลังจากนั้นไม่นานนัก ครีมก็รีบขึ้นไปบนห้อง และเมื่อเห็นตั้มกำลังถูกแกล้ง เธอจึงพยายามวิ่งเข้าไปช่วย แต่ไนซ์กับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นก็เข้ามาขวางไว้ไม่ให้ช่วย
    “แบบนี้มันแกล้งกันแรงเกินไปแล้วนะไนซ์” เธอพยายามแย้ง แต่เพื่อนสาวไม่ฟังเธอ ซ้ำยังช่วยกันขัดขวางไม่ให้เธอช่วยตั้ม
    “ช่วยกูด้วย!!!” ถัดจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงดังตุบดังขึ้นมาจากด้านล่าง
    “เรื่องที่หนูได้ยินก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”ครีมกล่าวอย่างจริงจัง แต่แววตากลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ของสุรสิทธิ์กลับจับจ้องไปที่ครีมอย่างเชิญชวน “ไปเยี่ยมตั้มไหม”
    “คงไม่ได้หรอกค่ะ คือว่าวันนี้หนูต้องไปเก็บข้าวของแล้ว ยังไงหนูก็ฝากอวยพรให้ตั้มเขาหายไวๆนะคะ”ครีมปฏิเสธพร้อมชี้แจงเหตุผล เขาจึงทำเพียงแค่ยิ้มรับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
    “ยังไงก็ต้องขอบคุณล่ะนะหนูครีม”สุรสิทธิ์เอ่ย ก่อนจะนำซองจดหมายสีขาวออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้เธอ “ถือซะว่าเป็นของขวัญที่หนูครีมคอยช่วยตั้มมันตลอด รับไว้นะ”
    “ขอบคุณค่ะ”ครีมกล่าวขอบคุณก่อนจะลาเขาออกไปรอรถที่จะมารับนอกโรงเรียน สุรสิทธิ์มองตามอย่างอิ่มใจ อย่างน้อยลูกชายของเขาก็ยังมีเพื่อนที่ดีอยู่ แล้วเพื่อนอย่างครีมก็ดูเรียบร้อยน่ารักสมกับเป็นผู้ดีจริงๆ ผิดกับไอ้พวกระยำสามตัวนั้น…มีฐานะดี มีชาติตระกูลเสียเปล่า แต่สันดานไม่ต่างอะไรกับพวกกุ๊ยมีเงิน!!!
    ที่บ้านของสุรสิทธิ์
    ในบ้านสองชั้นหลังนั้นมีสภาพเก่าคร่ำคร่าจากการถูกทิ้งร้างมานาน เขาเพิ่งจะย้ายมาอยู่ได้เพียงสามปี แม้จะทำความสะอาดมาตลอด แต่ก็ยังคงรกรุงรังอยู่เพราะว่าเอกสารงานต่างๆของเขานั้นมากมายจนไม่มีที่เก็บ บางส่วนต้องทิ้งเรี่ยราดไว้ตามพื้น
    เขากับลูกชายอยู่ที่นี่ได้อย่างเป็นปกติ ผิดกับโรงเรียนที่ถึงดูสะอาด แต่เนื้อแท้แล้วกลับสกปรกกว่าบ้านเขาเสียอีก 
    “ตั้ม กินข้าวได้แล้วลูก” เขาตะโกนเรียกลูกชาย แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ เขาลองตะโกนเรียกอีกครั้ง แต่ก็เงียบ เขาจึงรีบเดินขึ้นไปบนห้องของตั้ม แต่ก็ยังไม่พบอะไร “ตั้ม อยู่ไหนลูก”
    เขารีบเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ก่อนจะรีบเคาะประตูเรียก “ตั้ม อยู่รึเปล่าลูก”
    เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบ เขาลองเรียกอีกหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม เงียบกริบ สุรสิทธิ์รู้สึกเสียววูบขึ้นมาในใจ เมื่อนึกได้ว่าในห้องนั้น…
    “กูเก็บปืนไว้ในห้องนี่หว่า…” เขารีบเคาะประตูไปอีกรอบ แต่ก็เงียบ คราวนี้เขารีบพังประตูเข้าไปในห้องอย่างเต็มแรง แล้วสิ่งที่เขาเห็นก็คือ…
    “ตั้ม!!!”
    ลูกชายวัยหนุ่มน้อยของเขานั้นนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ที่ขมับมีรอยกระสุนเป็นรูใหญ่ เลือดปนมันสมองทะลักเต็มบาดแผลและไหลนองท่วมโต๊ะ ดวงตาเบิกค้างมีคราบน้ำตาแห้งกรังไปหมด มือข้างขวากำล้อรถเข็นแน่นอย่างแค้นใจ ข้างๆตัวของลูกเขามีปืนกระบอกหนึ่งตกอยู่
    มันเป็นปืนของเขาเอง!!!
    “ตั้ม!!!”สุรสิทธิ์กอดศพลูกแน่น ดวงตาเรียวเล็กเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาจนคลอเบ้า เขากล้าร้องไห้อย่างไม่อายใคร และในแวบหนึ่งของความคิด เขาพลันนึกถึงเพื่อนบ้านขึ้นมาทันที “ช่วยด้วย!!!”
    เพื่อนบ้านหลายคนรีบพากันมาช่วยพาตั้มไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทนายหนุ่มใหญ่ได้แต่มองและภาวนา อย่าให้ลูกของเขาต้องตายเลย
    แต่น่าเสียดาย เขาพาลูกชายส่งโรงพยาบาลช้าเกินไป ลูกของเขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา!!!
     
    วันต่อมา
    ที่ห้องฝ่ายปกครอง สุรสิทธิ์กับนักการเมืองใหญ่พ่อของเบียร์กำลังนั่งฟังเรื่องที่อาจารย์ฝ่ายปกครองชี้แจง
    “สรุปว่าคุณบอกว่าลูกผมฆ่าตัวตายเพราะปัญหาทางบ้านเหรอครับ” ทนายหนุ่มถามอาจารย์ฝ่ายปกครองอย่างไม่พอใจเรื่องที่บอกว่าตั้มฆ่าตัวตายเพราะเครียดจากปัญหาทางบ้าน
    “ใจเย็นๆครับ ผมไม่ได้สรุปแบบนั้น แต่คุณสุเนตรเขาก็ยืนยันว่าลูกเขาไม่เคยแกล้งใครน่ะครับ เอาเป็นว่ารอให้ทางเราได้มีเวลาสรุปเรื่องต่างๆก่อนนะครับ”อาจารย์ตอบ ทั้งคู่จึงออกมานอกห้อง
    “แหมคุณทนายครับ ลูกคุณฆ่าตัวตายบางทีอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับน้องเบียร์เขาก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องผลการเรียน หรือไม่ก็เรื่องอกหักน่ะครับ”พ่อของเบียร์กล่าวกับเขา ก่อนจะยื่นเงินปึกใหญ่ให้เขา “ห้าแสน หวังว่ามันจะถือเป็นการชดเชยชีวิตลูกคุณได้นะครับ แล้วก็ถือว่าเรื่องนี้จบๆไปซะ ถือว่าช่วยๆกันนะครับ ผมเองก็ไม่อยากเสียชื่อเพราะเรื่องแค่นี้ด้วย”
    สุรสิทธิ์ยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะรับเงินนั้นแล้วเดินจากไป “ได้ครับ ผมจะไม่เอาเรื่องลูกคุณ”
    แต่ในชั่วขณะหนึ่งนั้น แววตาของเขาเริ่มกลอกกลิ้งเหลียวหลังไปอย่างเจ้าเล่ห์  ปากเผยอเล็กน้อยของเขานั้นเอ่ยขึ้นมาเบาๆจนเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ
    “ซะที่ไหนล่ะ”
     
    “เฮ้ย ไอ้แหยมันฆ่าตัวตายแล้วว่ะ” ข่าวการฆ่าตัวตายของตั้มแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียน แม้กระทั่งในวงนักแกล้งอย่างเบียร์กับไนซ์
    “กูว่าเราน่าจะไปขอขมามันที่งานศพว่ะ” บอลกล่าวกับเพื่อนๆ แต่กลับถูกไนซ์ล้อเลียน “ใจเสาะนี่ กลัวด้วยเหรอผีน่ะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าผีมีจริง ใครอยากไปก็ไป ฉันไม่ไปหรอก”
    “ใช่ๆๆ กูก็ไม่ไปหรอก เรื่องอะไรจะต้องไปขอขมาไอ้ขี้แหยอย่างมัน”เบียร์เห็นด้วยกับไนซ์ ก่อนจะไปบอกกับเพื่อนในกลุ่ม “เลือกเอาแล้วกัน ใครไปงานศพไอ้แหย ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกู”
    “ใครไปงานศพมันฉันตัดชื่อออกจากงาน”ไนซ์กล่าวสำทับ ทุกคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เสียเอ็ดอึงไปจนถึงห้องข้างๆ จนครูห้องข้างๆต้องมาตักเตือนให้เงียบเสียงลงหน่อย
    หลังจากนั้นไม่นานนัก ครีมก็นำซองจดหมายที่จำนวนเท่ากับคนในห้องพร้อมกับเขียนชื่อไว้จนครบทุกคนเข้ามาในห้อง “ทุกคน พ่อตั้มเขาเชิญพวกเราไปงานศพตั้มน่ะ”
    “ครีม ถ้าแกไป เราไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกัน”ไนซ์ขู่ แต่ดูเหมือนเพื่อนสาวนั้นจะไม่สะทกสะท้าน “แล้วไง แกล้งตั้มตอนเป็นๆยังไม่สำนึกอีกเหรอ ไม่ต้องมาขู่เลยนะ เดี๋ยวฉันก็จะย้ายโรงเรียนแล้ว”
    “อี…” ไนซ์กำลังจะด่า แต่เบียร์กลับเข้ามาห้ามทัพไว้ก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกัน  “เดี๋ยวเราขอเวลาคิดก่อนนะครีม”
    ครีมเองก็พยักหน้ารับในเชิงว่าได้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มก็เลือกที่จะตามครีมกันส่วนหนึ่ง อีกส่วนที่เหลือเพียงยี่สิบคนนั้นต่างก็โห่ไล่อย่างไร้ไมตรี
    “พวกป๊อด กลัวผีนี่หว่า”
    ส่วนทางด้านกลุ่มนักแกล้งนั้น ไนซ์เข้ามาต่อว่าเบียร์อย่างหนัก “ทำไมแกไม่ช่วยฉันล่ะ อย่าบอกนะว่าแกก็เป็นไปกับคนอื่นเขาด้วย”
    “เปล่า”เบียร์กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันมีวิธีดีๆแล้ว”
    พวกเขาจัดแจงเปิดซองจดหมาย หวังจะเขียนข้อความด่าซ้ำเติมไปที่บ้านของตั้ม แต่เมื่อเปิดซองแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องผงะ เมื่อข้างในนั้นกลับมิใช่จดหมาย แต่เป็นแผ่นทองคำบางๆแบบที่ใช้ม้วนทำตะกรุด และบนแผ่นทองนั้นก็มีภาษาขอมเขียนเรียงกันเป็นเหมือนกับตะรางสี่เหลี่ยม และมีชื่อของเขา รวมทั้งวัน เดือน ปีเกิด อยู่เป็นจุดศูนย์กลาง แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับอีกด้านของแผ่นทองนั้น ที่เขียนว่า…
    “พวกมึงไม่มีทางตายดี” ทุกคนในกลุ่มนักแกล้งอ่านอย่างตกใจพร้อมกัน นี่พ่อของไอ้ตั้มมันคิดอะไรกันแน่ “เซ็งโว้ย นึกว่าจะเป็นกระดาษ เขียนลงไปก็ไม่ได้อีก เฮ้ย ทิ้งไว้นี่เถอะ” เบียร์โยนแผ่นทองนั้นทิ้ง พร้อมกับชวนเพื่อนๆเดินแยกย้ายกลับบ้าน
    ที่วัด
    หลังจากเสร็จงานสวดศพแล้ว สุรสิทธิ์ก็จัดแจงเก็บข้าวของในงาน โดยมีครีมและเพื่อนคนอื่นๆคอยช่วยเก็บของที่เป็นขยะแล้วนำไปทิ้ง
    “หนูครีมเปิดซองดูรึยัง”เขาถาม ซึ่งเด็กสาวก็ตอบกลับอย่างฉะฉานเช่นกัน
    “อ๋อ เปิดแล้วค่ะ คุณน้าให้เครื่องรางนำโชครึเปล่าคะ”
    สุรสิทธิ์พยักหน้าก่อนจะตอบกลับสั้นๆ “ก็ทำนองนั้นล่ะ น้าขอให้หนูครีมกับเพื่อนๆโชคดี พบเจอแต่สิ่งดีๆ ให้สมหวังเหมือนที่เขียนในเครื่องรางนั้นก็แล้วกันนะ”
    ครีมและคนอื่นๆต่างรับพรที่เขาอวยพรให้ ก่อนจะพากันถามครีมว่าเกิดอะไรขึ้น “น้าเขาให้พรอะไรแกวะ”
    เด็กสาวหยิบแผ่นทองมาให้เพื่อนๆดู ภายในนั้นมีคำว่า ขอให้เรียนจบ เรียนเก่ง ได้งานดี ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา และขอให้ฐานะทางบ้านร่ำรวยขึ้นอีกเป็นทวีคูณ เพียงเท่านั้น ทุกคนต่างก็แอบอมยิ้มอย่างดีใจ หลังเสียใจจากการตายของตั้มมานาน
    หลังจากครีมกับเพื่อนๆกลับบ้านกันหมดแล้ว เขาจึงไปที่รูปถ่ายหน้าศพของลูกชาย
    “ลูกคงไม่หวังให้พ่อแก้แค้นใช่ไหมล่ะ”เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง “แต่ถึงยังไงครั้งนี้ พ่อก็คงต้องฝืนใจลูกแล้ว ไอ้พวกสามตัวนั่นมันระยำเกินไปจริงๆ”
    “พวกมันคงไม่รู้ว่าประกาศิตของหลักเมืองเป็นใคร” ริมฝีปากเผยอเริ่มแสดงรอยยิ้มอย่างชั่วร้าย ดวงตาเรียวเล็กดูเจ้าเล่ห์เหลียวหลังไปมองศาลาที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน มือซ้ายของเขาเอื้อมไปดึงถุงมือยางสีขาวที่สวมบนมือขวามาตลอดออกไป เผยให้เห็นรอยสักหมึกสีน้ำเงินออกดำแบบรอยสักยันต์โบราณบนหลังมือขวา เป็นรูปจักรหกแฉก และที่ใจกลางมีรูปดอกบัวบานกับธงไขว้ด้านล่าง อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ถือดวงประกาศิตแห่งหลักเมืองมากว่าร้อยชั่วอายุคน
    “พวกมึงไม่มีทางตายดี”
     
    วันต่อมา 
    “อะไรนะ ปุ้ยโดนหมากัดตาย”ไนซ์ถึงกับตกใจจนหน้าซีดเผือด เมื่อจู่ๆ เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มที่เคยแกล้งตั้มแล้วไม่ได้ไปงานศพนั้นเริ่มทยอยตายกันไปทีละคน “เดี๋ยวนะ นี่ป้อมก็โดนรถสิบล้อเหยียบเหรอ”
    ทางด้านบอลก็ใช่ย่อย “อะไรนะ ป๊อดที่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำโรงเรียนจมน้ำตายเนี่ยนะ บ้ารึเปล่า”
    ที่ป้ายรถประจำทาง 
    ตุ่น หนึ่งในกลุ่มเพื่อนชายที่ชอบแกล้งตั้มกำลังนั่งรอรถอยู่กับกุ๊ก แฟนสาววัยเรียนที่เป็นเพื่อนที่ร่วมแกล้งตั้มแล้วไม่ได้ไปงานศพ
    “เฮ้ยตุ่น รถมาแล้ว”กุ๊กรีบบอกตุ่นเมื่อเห็นรถประจำทางกำลังขับมา แต่แล้วจู่ๆ เมื่อรถจอด กลับมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายสิบคนที่ถืออาวุธครบมือวิ่งลงมา
    “พวกมึงเจ๋งนักใช่ไหมถึงกล้าตีเพื่อนกู” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ตวาดใส่ และในขณะที่ตุ่นยังไม่ทันได้ตั้งตัว มีดสปาต้าของหัวหน้ากลุ่มก็พุ่งเข้ามาผ่าร่างของเขาเสียก่อน
    ฉัวะ!!! ร่างของตุ่นขาดเป็นสองซีกราวไก่ถูกผ่าอก เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นเลอะจุดเกิดเหตุ อวัยวะภายในต่างๆไหลทะลักเรี่ยราดเต็มพื้น กุ๊กถึงกับกรีดร้องดังลั่นพร้อมกับวิ่งหนีอย่างสะเปะสะปะ แล้วก็…
    โครม!!! ร่างของกุ๊กถูกรถชนจนลอยไปเสียบกับเสาป้ายรถประจำทางดังฉึก เลือดแดงสดพุ่งกระฉูดไม่ต่างจากน้ำพุ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกอย่างเจ็บปวดก่อนจะสิ้นใจ
    หลังจากนั้น คนในกลุ่มของบอล เบียร์ และไนซ์ต่างก็ทยอยตายกันเป็นลำดับ แต่ละคนนั้นล้วนไม่ตายดีตามคำสาปแช่งในแผ่นทองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นป้องที่ถูกไฟดูดเสียชีวิตขณะอาบน้ำ เป๊กที่เสียชีวิตจากการล้มหัวฟาดขอบโถส้วม น้อยที่ถูกโจรซอยเปลี่ยวรุมข่มขืนจนตาย ตุ๊กที่ถูกไฟคลอกจากเหตุแก๊สระเบิด หรือเดฟที่ถูกนักเรียนอาชีวะยิงตาย ทุกคนล้วนตายในเวลาไล่เลี่ยกัน จนกระทั่งเหลือเพียงพวกเขาสามคน ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็นัดกันมาที่ร้านขายกาแฟไฮโซร้านหนึ่ง
    “เบียร์ มึงเชื่อเรื่องผีรึเปล่าวะ”บอลถามเพื่อน สีหน้าและแววตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าเนื่องจากการอดนอนเพราะรอฟังข่าวการตายของเพื่อนแทบทุกนาที และต้องคอยระแวงว่าจะเกิดเรื่องกับตัวเองเมื่อใด
    “กูว่าเป็นเรื่องบังเอิญ มึงปอดแหกไปได้ไอ้บอล ผีมีจริงซะ…”ยังไม่ทันพูดจบ เบียร์ก็ถึงกับร้องลั่น เมื่อจู่ๆ พัดลมที่แขวนไว้บนเพดานกลับหล่นลงมาทับร่างของบอล ฝาครอบใบพัดหลุด ปล่อยให้ใบพัดลมปั่นศีรษะจนเละ เลือดสดๆสาดกระจายเปรอะเปื้อนร้านไปหมด เบียร์ตัวสั่นระริก ตาค้างอย่างตกใจ ส่วนไนซ์นั้นกรีดร้องลั่น ก่อนจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก “ไม่จริง ผีไอ้แหยมันตามมาฆ่าพวกเรา”ไนซ์พูดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนบ้า ในขณะที่เบียร์กำลังวิ่งตามมา “ไนซ์ รอก่อน”
    “เมื่อกี้แกเห็นเหมือนที่ฉันเห็นรึเปล่า”เบียร์ถาม “ไอ้บอลมันโดนพัดลมตกใส่ตาย นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว”
    “เรารีบไปหาพ่อไอ้แหยมันเร็ว เผื่อเขาจะช่วยพาเราไป”ไนซ์รีบออกความเห็นก่อนจะซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของเบียร์อย่างรวดเร็ว
    ที่บ้านของสุรสิทธิ์
    “กะว่าจะเป็นงานสุดท้ายแล้วเชียว พวกแกดันทำให้ฉันต้องออกแรงเองจนได้”สุรสิทธิ์กำลังมองแผ่นทองคำที่ตัวเองจะต้องนำไปส่งเป็นจดหมายสั่งตายให้เป้าหมาย ก่อนจะนำเข็มมาเขียนยันต์แบบเดียวกับในคำสาปแช่งคนที่แกล้งตั้มแล้วไม่ได้ไปงานศพ
    “เหลืออยู่สองตัว”เขานำใบรายชื่อนักเรียนในห้องของลูกเขามาดู ในกลุ่มคนที่ไปงานศพตั้มรวมทั้งครีมนั้นถูกขีดชื่อด้วยปากกาสีดำ ส่วนชื่อของพวกที่แกล้งตั้มแล้วไม่ไปงานศพ พวกที่เสียชีวิตนั้นถูกขีดชื่อด้วยปากกาสีแดงจนเกือบหมด เหลือแค่ไนซ์กับเบียร์เท่านั้น ถัดจากนั้น ดวงตากลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์เหลือบไปมองที่ผนังห้อง ซึ่งติดกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ตัดเฉพาะหัวข้อข่าวการตายของคนหลายคนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยใหญ่นักธุรกิจ หรือว่านักการเมืองหลายคนที่เคยออกข่าวว่าเสียชีวิตอย่างปริศนา บางคนก็จมน้ำตาย บางคนก็อาหารติดคอตาย บางคนก็ตายคาอกผู้หญิงในโรงแรมม่านรูด และนอกจากคนกลุ่มนั้น พาดหัวข่าวเกี่ยวกับการตายของกลุ่มเพื่อนที่แกล้งลูกชายของเขาจนต้องฆ่าตัวตาย
    “พ่อตั้มครับ อยู่ไหมครับ”เสียงเบียร์ตะโกนเรียกเขาดังลั่นบ้าน พร้อมทั้งเขย่าประตูรั้วดังตึงตังน่ารำคาญหู 
    เอาล่ะ…ถึงเวลาต้อนรับเพื่อนบ้านเสียที!!!
     
    สุรสิทธิ์เดินลงมาข้างล่างอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะเดินเข้ามาที่หน้าประตู “มาทำไมครับ”
    “พ่อตั้มรึเปล่าครับ”หัวโจกนักแกล้งอย่างเบียร์ดูจะสิ้นลายจริงๆ เขารีบถามอย่างคนหาทางรอด หากคุกเข่าได้ป่านนี้คงคุกเข่าไปแล้ว ส่วนไนซ์เองก็หมดลายคุณหนูตัวแสบไปเช่นกัน
    “มีธุระอะไรครับ”เขาถาม แต่ก็ยังไม่เปิดประตู รอฟังคำพูดของสองหน่อตัวแสบต่อไป
    “พวกหนูอยากจะมาขอขมาตั้มน่ะค่ะ”ไนซ์กล่าว “พวกหนูเคยแกล้งตั้มไว้เยอะ หนูเลยอยากจะมาขอขมาเขา”
    “เผาแล้ว”สุรสิทธิ์ตอบอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน และในทันใดนั้นเอง ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
    โครม!!! จู่ๆ ร่างของไนซ์ก็กลับถูกอัดก๊อบปี้คาผนังบ้านด้วยฝีมือของรถยนต์คันหนึ่งที่เสียหลักพุ่งเข้ามาชนเธออย่างจัง สภาพของเธอถึงกับขาดเป็นสองท่อน เลือดทะลักย้อมรั้วบ้านสีขาวจนแดงเถือกภายในพริบตา ส่วนเบียร์นั้นถึงกับหน้าซีดเผือด ดวงตาจ้องมองไปที่สุรสิทธิ์อย่างขอความช่วยเหลือโดยด่วน
    “พ่อตั้มครับ ผมขอร้องล่ะ ช่วยพาผมไปขอขมาตั้มที ผมสำนึกผิดแล้ว”ดวงตากลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ของเขาเหลือบย้อนกลับมามองเบียร์อย่างสมเพช ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างเรียบเฉย “คิดว่านี่เป็นฝีมือของตั้มเหรอ”
    “หมายความว่า…”เบียร์อึ้ง หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของสุรสิทธิ์ แต่เป็นไปไม่ได้หรอก คนที่ไหนจะฆ่าคนได้รวดเดียวยี่สิบกว่าคน แถมยังตายกันคนละแบบด้วย
    “คุณเคยได้ยินคำว่าปากพระร่วงไหม”ทนายหนุ่มถามอย่างเรียบเฉย ก่อนที่จะตอบเอง “คงไม่หรอก คนสมัยใหม่คงไม่เชื่อหรอกว่าคนประเภทนี้จะมีจริง พวกที่มีวาจาสิทธิ์ พูดอะไรก็เป็นจริงตามนั้นน่ะ นอกจากคำว่าปากพระร่วงแล้วยังมีอีกชื่อเรียก ซึ่งเรียกว่า ประกาศิตแห่งหลักเมือง ผมเป็นหนึ่งในนั้น”
    “ผู้มีวาจาสิทธิ์ในประเทศไทยในปัจจุบันมีอยู่ร้อยคน เก้าสิบคนเป็นพราหมณ์หรือพระภิกษุ ห้าคนถอนอาถรรพณ์ของตัวเองออกเพื่อเป็นคนธรรมดา สี่คนทำอาชีพสุจริตเช่นผู้พิพากษาและทนายความ ส่วนอีกหนึ่งคนนั้นทำอาชีพเป็นนักฆ่า ผมคือหนึ่งคนสุดท้ายนั้น อาชีพทนายของผมเป็นแค่ฉากบังหน้า ที่จริงแล้วผมเป็นนักฆ่าขนานแท้เลยล่ะ”
    สุรสิทธิ์กล่าวกับเบียร์ที่กำลังตกใจด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด “คุณคงจะสงสัยว่าทำไมผมไม่ให้พรลูกตัวเองล่ะ เพราะว่าอำนาจวิเศษนี้ไม่สามารถใช้กับคนสายเลือดเดียวกันหรือคนปากพระร่วงด้วยกัน แล้วคำพูดของผมก็ไม่ได้มีวาจาสิทธิ์ไปเสียทุกเรื่อง ผมก็เลยต้องทำให้เหยื่อคล้อยตามคำพูดโดยการให้เหยื่อเขานึกถึงคำพูดหรือท่องตามคำพูดที่ผมให้พรหรือแช่งไว้ในแผ่นทองลงอาคม ซึ่งผมมั่นใจครับว่าชีวิตคุณจะจบตามที่ผมแช่งไว้แน่นอน ไม่ตายดี”
    “ผมขอร้องล่ะครับ ถอนคำสาปให้ผมหน่อยเถอะ ผมสำนึกแล้ว”เบียร์ขอร้องจนแทบจะกราบเท้าเขาเสียให้ได้ แต่เขาก็ยังนิ่ง ไม่ยอมถอนคำสาปให้ ด้วยความอยากรอดตายจนเลือดเข้าตา เบียร์จึงต้องใช้ไม้แข็ง “ถ้าแกไม่ถอนฉันบอกพ่อให้สั่งเก็บแกแน่”
    “เก็บเหรอ ถ้าคิดว่าจะรอดไปโทรหาพ่อก็กดโทรเลย รับรองได้ว่าคุณไม่รอดแน่”สุรสิทธิ์ยักไหล่ไม่สะท้าน ในขณะที่เบียร์เองก็รีบกดโทรศัพท์มือถือโทรเข้าเบอร์ของพ่อ “ไม่ต้องท้า กูทำแน่”
    แต่พอเอาโทรศัพท์แนบหูเท่านั้น ตูม!!! จู่ๆโทรศัพท์มือถือก็กลับระเบิดดังสนั่น ศีรษะของเบียร์ถึงกับสมองไหลทะลักออกมาจากแผลพร้อมกับเลือดแดงสดที่สาดกระจาย ร่างของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น
    สุรสิทธิ์เหลือบตาไปมองสองศพหน้าบ้านอย่างภูมิใจ พ่อแก้แค้นให้ลูกแล้วนะ…
    สามวันต่อมาหลังจากการตายของกลุ่มเพื่อนที่แกล้งตั้มกว่ายี่สิบคน พ่อของเบียร์ถึงกับแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ถึงการตายของลูก เขาพอจะรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าลูกของเขาจากสถานที่ตาย และกำลังจะจ้างมือปืนไปฆ่าคนผู้นั้น ซึ่งก็คือสุรสิทธิ์
    ที่บ้านของเบียร์
    สุรสิทธิ์เดินมาที่หน้าประตูรั้วบ้าน ก่อนจะหยิบซองจดหมายใส่ไว้ที่ตู้จดหมายหน้าบ้านแล้วเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นานนัก คนใช้ของท่านสมาชิกผู้แทนราษฎรก็ไปเอาจดหมายมาให้เจ้านาย
    “คุณผู้ชายคะ มีจดหมายค่ะ” และหลังจากพ่อของเบียร์นำจดหมายมาเปิดดู เขาก็พบกับแผ่นทองลงอาคมแบบเดียวกับแผ่นทองสั่งตายของสุรสิทธิ์ และพลิกไปมองข้อความด้านหลัง
    “ลูกมึงตายแล้ว มึงเตรียมตัวตายตามลูกมึงได้เลย ใครมันเล่นพิเรนทร์วะ”พ่อของเบียร์สบถอย่างโกรธแค้นที่ถูกลูบคมเข้าอย่างจัง แต่ก็ยังไม่สนใจอะไรมาก เขายังคงเดินลงบันไดอย่างสบายๆ และในทันใดนั้นเอง เขาก็เผลอสะดุดขาตัวเองขึ้นมา
    “เฮ้ย!!!”เขาตะโกนได้แค่นั้น แล้วก็…
    กร๊อบ!!! ร่างของท่านผู้แทนราษฎรร่วงลงมาที่ชั้นพักบันไดในสภาพขาชี้ฟ้า ตัวงอ คอบิดพับผิดรูป แน่นอนว่าสภาพแบบนี้เขาตายสนิท
    สุรสิทธิ์แอบมองไปตามเสียงตะโกนอย่างตกใจของคนใช้ในบ้านของเบียร์ แล้วเดินกลับไปวางเงินสดที่พ่อของเบียร์เคยให้เขาที่หน้าประตู
    “ให้คืนครับ"

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น